พระราชประวัติสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์



   ประวัติศาสตร์ไทย    


   ขอเสนอ 


มเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์


หรือพระเจ้าเอกทัศ



สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ หรือ พระเจ้าเอกทัศ

สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์

พระเจ้าเอกทัศ (ชื่อติดปาก)

สมเด็จพระบรมราชากษัตริย์บวรสุจริต (พระนามเมื่อขึ้น

ครองราชย์)

สมเด็จพระที่นั่งสุริยาบรินทร

ขุนหลวงขี้เรื้อน (ชื่อติดปาก; เนื่องจากเป็นที่เชื่อกันว่า

พระองค์ทรงเป็นโรคเรื้อน)

สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ หรือ พระเจ้าเอกทัศ มี

พระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าเอกทัศ เป็นพระมหากษัตริย์

พระองค์ที่ 33 พระองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา ทรง

ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2301-พ.ศ. 2310 ทรงเป็นพระ

ราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศที่ประสูติแต่

กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) ต่อมา ได้รับ

การสถาปนาให้ทรงกรมเป็น กรมขุนอนุรักษ์มนตรี



ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ หนึ่งปีก่อนหน้า

การเสด็จสวรรคต พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จเจ้า

ฟ้าฯ กรมขุนพรพินิต (เจ้าฟ้าอุทุมพร) ผู้เป็นอนุชาของ

เจ้าฟ้าเอกทัศให้ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถาน

มงคล แต่เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตได้ทูลว่าเจ้าฟ้ากรมขุน

อนุรักษ์มนตรีพระเชษฐายังคงอยู่ขอพระราชทานให้

เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลน่าจะสมควรกว่า 

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงตรัสว่า กรมขุนอนุรักษ์

มนตรีนั้นโฉดเขลา หาสติปัญญาแลความเพียรมิได้ ถ้าจะ

ให้ดำรงฐานุศักดิ์มหาอุปราชสำเร็จราชกิจกึ่งหนึ่งนั้น 

บ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย และมีพระราช

ดำรัสสั่งให้กรมขุนอนุรักษ์มนตรีออกผนวชเสียเพื่อไม่ให้

กีดขวางเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตขึ้นเป็นกรมพระราชวัง

บวรสถานมงคล

หลังจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคตแล้ว

 สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรเสด็จขึ้นครองราชย์ แต่อีกสอง

เดือนถัดมา พระองค์กลับมาแสดงพระประสงค์ขึ้นครอ

งราชย์ และเสด็จเข้าประทับ ณ พระที่นั่งสุริยาศน์

อมรินทร์ จนทำให้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้น สมเด็จ

พระเจ้าอุทุมพรยอมสละราชสมบัติและเสด็จออกผนวช

 เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีจึงเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อปี

 พ.ศ. 2301

สงครามคราวเสียกรุงครั้งที่สอง

ในระหว่างที่พระองค์ครองราชย์ พม่าได้ยกกองทัพเข้า

มาตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2303 สมเด็จพระเจ้าเอก

ทัศได้ทรงขอให้พระเจ้าอุทุมพรลาผนวชมาช่วย

บัญชาการรบ พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่า ที่ยกทัพ

มาได้รับบาดเจ็บจากปืนใหญ่ ต้องยกทัพกลับ และ

สิ้นพระชนม์ระหว่างทาง

ต่อมาในปี พ.ศ. 2307 พระเจ้ามังระ โอรสของพระเจ้าอ

ลองพญา ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์พม่า และได้ส่งกองทัพมาตี

กรุงศรีอยุธยาอีก ให้เกณฑ์กองทัพกว่า 70,000 นาย ยก

เข้าตีเมืองไทย 2 ทาง ทางทิศใต้เข้าตีเข้าทางเมืองมะริด

 ส่วนทางตอนเหนือตีลงมาจากแคว้นล้านนา และบรรจบ

กันที่กรุงศรีอยุธยาเป็นศึกขนาบกันสองข้างโดยได้ล้อม

กรุงศรีอยุธยานาน 1 ปี 2 เดือน ก็เข้าตีพระนครได้ เมื่อวัน

ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310

สาเหตุการเสด็ตสวรรคตของพระเจ้าเอกทัศมีหลายข้อ

สันนิษฐาน ในหลักฐานของไทยส่วนใหญ่บันทึกไว้ว่า

พระองค์เสด็จสวรรคตจากการอดพระกระยาหารเป็น

เวลานานกว่า 10 วัน ภายหลังจากที่เสด็จหนีไปซ่อนตัวที่

ป่าบ้านจิก ใกล้กับวัดสังฆาวาส ทหารพม่าเชิญเสด็จไปที่

ค่ายโพธิ์สามต้น สุกี้ได้นำพระบรมศพไปฝังไว้ที่โคกพระ

เมรุ ตรงหน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร

ส่วนทางพงศาวดารพม่ากล่าวว่า เกิดความสับสนระหว่าง

การหลบหนีในเหตุการณ์กรุงแตก จึงถูกปืนยิงสวรรคตที่

ประตูท้ายวัง

ส่วนคำให้การของแอนโทนี โกยาตัน ตำแหน่ง Head of

 the foreign Europeans เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ

. 2311 ได้กล่าวว่า "กษัตริย์องค์ที่สูงวัย [พระเจ้าเอกทัศ]

 ถูกลอบปลงพระชนม์โดยชาวสยามเช่นเดียวกัน" หรือ

ไม่พระองค์ก็ทรงวางยาพิษตนเอง

ต่อมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงอัญเชิญพระบรม

ศพขึ้นถวายพระเพลิงตามโบราณราชประเพณี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น